5 เรื่องราวจากเด็กๆที่จะทำให้คุณขนลุก

368

เป็นธรรมดาที่คนส่วนใหญ่ยอมต้องมีเรื่องที่ตัวเองสามารถทำได้และมั่นใจในสิ่งที่จะทำนั้นก็เพราะพวกเรานั้นล้วนแล้วแต่มีความถนัดไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่งซึ่งทำให้พวกเราหลายหลายคนสร้างสรรค์หรือทำในสิ่งใหม่ๆที่แตกต่างกันได้อย่างลงตัวและแน่นอนว่าเมื่อเรามีสิ่งที่เราถนัดหรือสิ่งที่เรารู้แล้วย่อมจะต้องมีสิ่งตรงกันข้ามนั้นก็คือเรื่องราวหรือสิ่งที่เราทำไม่ได้หรือเรื่องราวที่เราไม่รู้นั้นเอง และเจ้าสิ่งเหล่านี้แหละที่จะทำให้พวกเราเกิดความไม่มั่นใจหรือความกลัวในการทำสิ่งเหล่านั้นนั้นเอง

ซึ่งก็ต้องบอกว่ามันเป็นเรื่องปกติสามัญมากมากที่เกิดขึ้นกับตัวเราหรือบางครั้งก็เกิดขึ้นกับคนรอบรอบตัวเราได้แต่วันนี้พวกเราชาวสัพเพเหระอยากจะเอาเรื่องราวชาวขนลุกจากสิ่งที่เราไม่รู้และพวกเราที่ได้ฟังกยังไม่สามารถที่จะเอาเหตุผลอะไรมาอธิบายเรื่องราวเหล่านั้นได้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไรมาให้ เพื่อว่าเพื่อนเพื่อนอาจจะสามารถบอกเราได้ถึงสิ่งที่เราไม่รู้เหล่านี้นั้นเอง

คุณยายชวนไปเล่นด้วย
ครอบครัวของเราอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่นั้นก็คือ เราจะอยู่กันแบบหลายหลายรุ่นเลยทำให้มีคุณตาคุณยายและพี่น้องรวมถึงหลานตัวเล็กอีกหลายคนอยู่ในบ้าน ซึ่งนั้นก็ทำให้บ้านของเราอบอุ่นและดูครึกครื้นอยู่เสมอ ด้วยความที่มีญาติหลายคนและอายุก็หลากหลายทำให้เด็กๆคุ้นเคยกับการเข้าหาผู้ใหญ่ และเรื่องราวไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นในวันที่เรามีงานเลี้ยงวันเกิดกันในครอบครัว ในระหว่างที่พวกผู้ใหญ่กำลังช่วยกันเตรียมอาหารและจัดของขวัญเด็กๆก็เล่นกับคุณตาคุณยายอย่างสนุกสนาน จู่ๆเหล่าเด็กก็พร้อมใจกันมองไปที่มุมห้องและเริ่มพูดคุยกันเบาๆ เราซึ่งเป็นคุณตาก็เลยถามไปว่า “แอบวางแผนอะไรกันเหรอเด็กๆ” แต่สิ่งที่เด็กๆตอบกลับมาก็ทำให้เราอึ้งไปเพราะพวกเค้าพร้อมใจกันพูดว่า “มีคุณยายยืนจ้องมองเราจากนอกหน้าต่างและพยายามเรียกให้เข้าไปหา แต่เราไม่เคยเห็นหน้าท่านมาก่อน” ซึ่งเมื่อเรามองไปที่นั้นก็ไม่เห็นใคร แต่เราก็ไม่สบายใจและพาเด็กย้ายไปห้องอื่น แต่เราก็ยังคิดไม่ออกว่าถ้าเราไม่อยู่แล้วเด็กเข้าไปหาแล้วจะเกิดอะไรขึ้นนะ

ชายคนหนึ่ง
ในเย็นวันหยุดสุดแสนธรรมดาเราพาหลานออกไปเดินเล่นที่สนามเด็กเล่นใกล้บ้านตามปกติ แต่ละหว่างที่หลานกำลังวิ่งเล่นอยู่รอบสนานหญ้าจู่ๆเค้าก็วิ่งมาหาเราและบอกว่า ย่าครับผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงนั้นมองมาที่เราครับย่า ผมเห็นเค้ายืนอยู่นานแล้วมันน่ากลัวมากครับ แต่ในระหว่างที่เรามองตามทิศทางที่หลานชี้ไปกลับไม่เห็นใครเลยและเมื่อถามซ้ำอีกครั้งหลานของเราก็ยังคงบอกว่าเค้ายืนอยู่ที่ตรงนั้นและกำลังเริ่มขยับตัวเหมือนจะเดินเข้ามา เรารีบพาหลานกลับบ้านโดยไม่ได้บอกอะไรเพราะอันที่จริงเราไม่เห็นใครเลยและหลังจากนั้นเราก็ไม่กล้าพาหลานไปที่นั้นอีกเลยเพราะกลังชายที่เรามองไม่เห็นคนนั้น

ทำไมไม่พาผมไปด้วย
หลังจากที่ออฟฟิศของเราเริ่มกลับมาทำงานและต้องออกเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ เราก็ต้องออกไปค้างข้างนอกบ่อยขึ้นซึ่งทุกครั้งเราก็จะโทรคุยกับลูกๆผ่านทางวีดีโอคอลเสมอ แต่วันก่อนระหว่างที่เราโทรคุยกันลูกของเรากลับถามคำถามแปลกขึ้นมาซึ่งทำให้ตั้งแต่คืนนั้นเราแทบไม่อยากไปค้างที่ไหนเลย เพราะจู่ๆลูกของเราก็ถามว่า ทำไมเพื่อนแม่พาเด็กไปด้วยได้ แล้วทำไมแม่ไม่พาผมไปได้ ซึ่งเราก็สงสัยเลยถามไปว่าทำไมลูกพูดแบบนั้น แล้วเจ้าตัวเล็กก็บอกว่า “ผมเห็นเพื่อนแม่เล่นกับเด็กอยู่ด้านหลังไง” ซึ่งตอนนั้นเราอยู่คนเดียวแต่เราไม่ได้พูดอะไรและค่อยๆวางสายไปพร้อมกับเก็บของแล้วลงมาขอเปลี่ยนห้องนอน “ให้นอนห้องเดิมคงทำใจไม่ไหว”

ทำไมเค้านั่งได้
การมีลูกๆทำให้เรารู้ว่าครอบครัวและงานบ้านกับการดูแลเด็กๆไม่ได้เป็นเรื่องง่ายเลย และเรามีหลายหลายเรื่องที่จะต้องเรียนรู้อย่างวิธีการเลี้ยงเด็กเป็นต้น ซึ่งบางเรื่องก็ง่ายบางเรื่องก็ยากแต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ทำให้เราแทบวิ่งเลยนั้นก็เพราะว่าวันนั้นเราไปเที่ยวนอกบ้านแล้วเจ้าตัวเล็กก็ปีนขึ้นไปบนโต๊ะเราเลยบอกว่า การปีนไปนั่งบนโต๊ะเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำแต่ระหว่างที่เราสอนอยู่เจ้าตัวเล็กกลับบอกเรามาว่า “ถ้าปีนขึ้นโต๊ะไม่ได้แล้วทำไมแม่ไม่ว่าคุณน้าผู้หญิงที่นั่งอยู่บนโต๊ะด้วยละ พร้อมกับชี้นิ้วไปที่โต๊ะข้างอีกด้วย” ซึ่งเราไม่เห็นใครเลยแต่ลูกของเราก็ยังบอกแบบนั้นอยู่อีก แต่เราก็รู้สึกขนลุกเล็กจึงรีบพากันออกจากร้านแล้วไม่กลับไปที่นั้นอีกเลย

พี่อยู่ในนั้น
ในระหว่างช่วงบ่ายวันหนึ่งหลังจากที่เราเพิ่งกลับจากโรงพยาบาล เราเดินทางกลับบ้านด้วยรถไฟฟ้าและในระหว่างที่นั่งรถอยู่ก็มีเด็กผู้หญิงตัวเล็กเดินมาใกล้เราแล้วก็บอกว่า “พี่มาอยู่ในนี้เหรอ” ที่แรกเราก็ไม่ได้สนใจอะไรแต่คุณแม่ของเด็กคนนั้นก็เริ่มพูดกับเด็กน้อยประมาณว่า “พี่เค้าเดินทางไปในที่ที่ไกลมากมากแล้ว” ซึ่งนั้นก็ทำให้เราทราบว่าพี่ของเด็กผู้หญิงคนนี้น่าจะเพิ่งจากไป แต่จู่ๆเด็กน้อยก็พูดขึ้นมาอีกว่าพี่ไม่ได้ไปไหนไกลแต่พี่เค้าบอกว่าเค้ามาอยู่ในนี้ แล้วก็ชี้มือมาที่ท้องของเรา ซึ่งแม่ของเด็กก็กล่าวขอโทษเราแล้วก็พากันเดินลงรถไป ทิ้งให้เรานั่งอยู่คนเดียวกับคำถามในใจว่าเด็กน้อยคนนั้นรู้ได้ยังไงว่าเรากำลังตั้งครรภ์เพราะเราเองก็ยังเพิ่งรู้จากผลตรวจเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน หรือพี่ของเธอคือคนที่บอกและจะมาอยู่กับเราจริง ๆ กันแน่นะ

เรียบเรียงโดย สัพเพเหระ