5 พลังที่ซ่อนเร้นอยู่ในร่างกายมนุษย์ที่เรามีและสามารถทำได้

501

วันนี้เถือเป็นอีกวันหนึ่งที่พวกเราได้หยุดพักผ่อนแบบสบายสบายในบรรยากาศเย็นสบายของสายลมและเมฆฝนเล็กน้อย หลายคนก็คงอยากที่จะนอนอยู่บนเตียงอย่างสบายอารมณ์สักหน่อยเพราะยังไงก็เป็นวันหยุดทั้งที่ แต่อากาศดีดีแบบนี้สำหรับพวกเราชาวสัพเพเหระจะปล่อยวันดีดีแบบนี้ผ่านไปโดยที่ไม่ได้เติมเรื่องราวดีดีใส่ตัวมันก็ไม่ใช่สไตล์ของชาวสัพเพเหระซะด้วยสิ วันนี้พวกเราก็เลยอยากจะเอาเรื่องราวที่หลายคนอาจจะเคยได้ยินได้ฟังกันมาบ้างแต่ก็ไม่มีใครสามารถบอกเรื่องราวเหล่านี้ได้ชัดเจน เพราะมันเป็นความสามารถที่ถูกซ่อนอยู่ภายในตัวเรานั่นเอง ซึ่งพวกเราบางคนก็อาจจะเคยได้ยินมาบ้างแต่ว่าวันนี้พวกเราชาวสัพเพเหระได้รวบรวมหลักการและเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับพลังที่ซ่อนอยู่ในตัวเราถึง 10 อย่างมาให้เพื่อนเพื่อนได้ลองอ่านกันเพื่อเป็นความรู้ในวันแสนสบายแบบนี้

หากพวกเราเคยดูหนังวิทยาศาสตร์มาก่อนน่าจะเคยมีการพูดถึงว่าเราใช้ ความรู้ที่ได้มามากมายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันในการค้นคว้าพลังงานและความลับที่ซ่อนอยู่ในตัวเราแต่ก็ยังไม่สามารถไขความลับเหล่านี้ออกมาเพื่อใช้งานมันได้อย่างเต็มที่อย่างสมองของคนเรานั้นก็สามารถใช้ได้เพียงเล็กน้อยของสิ่งที่มันสามารถทำได้เมื่อเทียบกับจำนวนเซลล์ต่างๆที่มีอยู่นั้นเอง

อย่างแรกเลยเราก็ต้องมีพลังงานที่จะใช้งาน แอบเตือนช้าไปเหรอว่าร่างกายและสมองของเรานั้นสามารถสร้างพลังงานไฟฟ้าได้ และหากถามว่ามันมีมากขนาดไหนละก็คงต้องบอกว่าการไหลเวียนของกระแสไฟฟ้านั้นมีมากพอที่จะทำให้หลอดไฟขนาดเล็กสามารถสว่างขึ้นมาได้ยังไงละ

แล้วสิ่งนี้เกิดจากอะไรกันนะ เพื่อนเพื่อนของเราหลายคน ก็น่าจะคิดและสงสัยว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไงซึ่งเราอยากให้เพื่อนเพื่อนเข้าใจพื้นฐานก่อนว่าอันที่จริงแล้วในร่างกายของเรานั้นถ้าเทียบกับเครื่องจักรสมัยใหม่แล้วละก็มันก็คงเหมือนกับอุปกรณ์ไฟฟ้าระดับอัจฉริยะที่สามารถสร้างพลังงานขึ้นได้ภายในตัวเองนั่นเองโดยที่พลังงานเหล่านั้นถูก สร้างจากสิ่งที่เราทานเข้าไปแล้วเปลี่ยนให้มันกลายเป็นชิ้นส่วนของร่างกายและพลังงานในรูปแบบอื่นๆเช่นพลังงานความร้อนและแน่นอนว่ามันมีพลังงานไฟฟ้าด้วยนั่นเองเพราะว่าการเคลื่อนไหวต่างๆ ของร่างกายที่ประกอบไปด้วยเซลล์จำนวนมากมายก็ใช้กระแสไฟฟ้าเหล่านี้นั่นแหละในการสื่อสารและสั่งการ

การมองเห็นหรือการได้กลิ่นอาจจะช่วยทำให้คุณย้อนคิดถึงอดีตได้

ในชีวิตคนเรานั้นผ่านเรื่องราวต่างๆมามากมายมีทั้งเรื่องราวที่เราจดจำได้ดีและเรื่องราวที่เราจดจำได้เลือนลางแต่เพื่อนเพื่อนทราบไหมว่าอันที่จริงแล้วการทำงานแต่ละอย่างนั้นถูกเชื่อมโยงและบันทึกไว้ในสมองของเราทั้งหมดอย่างไม่น่าเชื่อ เพียงแต่ว่าพวกเรายังไม่รู้วิธีการและขั้นตอนในการเลือกดึงเอาความทรงจำเหล่านั้นขึ้นมาใช้งานอีกครั้งเท่านั้นเอง แต่จากการศึกษาและรวบรวมข้อมูลก็ทำให้เราทราบว่าสถานการณ์หรือ เหตุการณ์ในระหว่างที่เรารับรู้เรื่องราวต่างๆเข้าไปเป็นหนึ่งในความทรงจำนั้นมีส่วนช่วยทำให้พวกเราสามารถดึงเอาความทรงจำตรงจุดนั้นกลับมาได้อย่างชัดเจนอีกด้วย อย่างเช่นบางครั้งที่ ได้กลิ่นขนมก็อาจจะทำให้เหมือนคิดถึงวันเวลาเก่าเก่าที่กำลังนั่งทานขนมเหล่านั้นอยู่กับครอบครัวขึ้นมาได้หรือการได้ยินเสียงข้อความก็สามารถช่วยทำให้เรานึกถึงเหตุการณ์และช่วงเวลาต่างๆได้เช่นเดียวกัน และนี่ถือเป็นก้าวแรกที่ทำให้เกิดแนวการสอนเกี่ยวกับการสร้างพลังในการจดจำด้วยการสร้างเรื่องราวเพื่อบันทึกสถานการณ์เหล่านั้นไว้พร้อมกับสิ่งที่เราต้องการจดจำ เพื่อทำให้เราจดจำและสามารถดึงเอาความทรงจำนั้นกลับมาได้เมื่อเราต้องการนั่นเอง

เราสามารถยกคนที่หนัก 100 ปอนด์ได้ไม่ยากแต่กับก้อนหินที่มีน้ำหนักเท่ากันมันยากมาก

ที่เป็นแบบนี้ไม่ใช่เป็นเพราะว่าเรามีแรงน้อยลง แต่อันที่จริงแล้วมันกลับเป็นความสามารถของคนเราต่างหาก เพราะคนที่กำลังถูกยกตัวอยู่นั้นสามารถเปลี่ยนแปลงน้ำหนักได้ดังใจต่างหากที่เป็นแบบนั้นก็เพราะว่าเราสามารถกำหนดให้ศูนย์ถ่วงหรือน้ำหนักของเรากระจายตัวไปยัง ส่วนต่างๆของร่างกายเพื่อทำให้ถูกยกขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อด้วยการขยับเพียงแค่เล็กน้อยหรือเพิ่มแรงกดหรือเกร็งตัวในส่วนต่าง ๆ นั้นเองที่ทำให้เวลาที่เรายกคนที่หลับอยู่กับคนที่ตื่นอยู่ยากแตกต่างกันมาก

สมองของเราสามารถขยายหรือหดตัวได้

เราพบกว่าในช่วงที่สาวๆตั้งครรภ์นั้นร่างกายส่วนต่าง ๆ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงหลายหลายอย่างขึ้นเพื่อรองรับทารกที่กำลังเติบโตขึ้นมาภายในและสมองของเราก็จะหดตัวลงเล็กน้อยอีกด้วยซึ่งทำให้เหล่าสาวๆนั้นก็การหลงลืมบางเรื่อง แต่เราก็ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าทำไมจึงต้องเป็นแบบนั้นแต่ก็มีการคาดการณ์จากสัดส่วนที่หายไปนั้นว่ามันเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความสัมพันธ์กับภายนอก และเมื่อเราสนใจภายนอกลดลงก็จะช่วยให้รับรู้ความต้องการซึ่งทำให้เกิดความผูกพันและการเติบโตของเด็กภายในนั้นสูงขึ้นได้

เราสามารถมองเห็นหรือจินตนาการสิ่งต่าง ๆ จากการได้ยินได้
เราอาจจะเคยได้ยินว่าเมื่อเราปิดการใช้งานสัมผัสทางตาลงจะเกิดการรับรู้ด้วยสัมผัสทางอื่นเช่นทางเสียงของเราจะชัดเจนขึ้น อย่างเช่นคนที่มองไม่เห็นนั้นเมื่อผ่านไปนานเข้าการใช้มือสัมผัสสิ่งของต่าง ๆ ก็จะสามารถบอกถึงความต่างของขนาดและความนูนได้อย่างชัดเจนมากขึ้นอีกทั้งบางคนยังสามารถที่จะฟังเสียงได้ชัดเจนมากขึ้นและมีบางคนที่สามารถสร้างภาพของสถานที่รอบๆออกมาเหมือนเรดาห์ของค้างคาวก็มี อย่างเช่นเราพบว่าคุณแดเนียล คิชสามารถเห็นภาพโครงสร้างแบบง่ายๆเมื่อได้ยินเสียงสะท้อนจากการเคาะไม้เท้า โดยเค้ากล่าวว่าเค้าเหมือนเห็นภาพในหัวหลังจากได้ยินเสียงสะท้อนเป็นความสว่างชั่วคราวเล็กๆที่จะเกิดขึ้นแต่สิ่งนี้ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำได้

ยังมีอีกหลายสิ่งที่ตัวเราสามารถทำได้เพียงแต่ว่าเรามองข้ามมันไปเท่านั้นและเมื่อพวกเราชาวสัพเพเหระมีอะไรน่าสนใจแบบนี้อีกเราก็จะเอามาให้เพื่อนเพื่อนได้อ่านกันอีกนะ
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก brightside — เรียบเรียงโดย สัพเพเหระ