สาระน่ารู้

แฟชั่นที่ได้รับความนิยมนั้นต้องบอกว่ามันช่างน่าดึงดูดสายตาจริงๆ แต่มันก็มีบางอย่างที่ไม่เหมาะกับรูปร่างคนทุกคนเช่น เลกกิ้ง รองเท้าขนแมวและชุดเดรส เหล่านี้อาจไม่เหมาะกับรูปร่างของคุณ และทำให้ขาของคุณไม่สวยเท่าที่ควร แต่เสื้อผ้าชั่นนั้นก็ไม่ได้ทำให้เราดูไม่ดีเสมอไปเพราะบางอย่างยังคงสามารถใส่ได้หากเรารู้จักเคล็ดลับง่ายๆ เหล่านี้ พวกเราทุกคนล้วนเคยต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงต่างๆ และเราอยากรู้เกี่ยวกับวิธีการแก้ไขรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อให้การแต่งตัวของเราทำให้เราดูดีที่สุด ในบทความต่อไปนี้คุณจะได้พบกับเคล็ดลับดีๆ ที่มีประโยชน์สำหรับคุณ และโบนัสในตอนท้ายของบทความอีกด้วย 1. หากคุณมีขาที่เล็กมากลองดูว่าอะไรจะเหมาะสำหรับคุณ © Evan Agostini/Invision/AP/East News © Gael Colliguet/KCS/East News ผู้หญิงหลายคนใฝ่ฝันที่จะมีขาเล็ก แต่ถ้าเล็กเกินไปเราจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเกิดความสมดุลในร่างกายทั้งส่วนบนและส่วนล่าง ดังนั้นนี่คือเคล็ดลับที่คุณสามารถใช้ได้หากคุณต้องการ: 1.หลีกเลี่ยงรองเท้าส้นหนา เพราะมันอาจดูใหญ่เกินไปสำหรับคุณ 2.เลือกรองเท้าที่มีความโค้งมน เพราะมันอาจทำเท้าขาของคุณดูคมเกินไป 3.กระโปรงหรือเดรสคลุมเข่าเหมาะกับคุณ 4.เลือกเสื้อผ้าที่ช่วยสร้างภาพลวงตาของการมองต้นขาของคุณ มันอาจเป็นกระโปรงเพ็บลั่ม (เพ็บลั่ม (peplum) คือ กระโปรงที่มีส่วนที่บานออกมาตรงช่วงเอว) และกระโปรงจีบรอบ กับกระเป๋า มันทำให้สะโพกใหญ่ขึ้นได้ 5.กระโปรงทรงเอก็ดีสำหรับรูปร่างขาของคุณ 2. หากคุณมีหัวเข่าแหลม สีผิวซีดหรือมีแผลเป็น © Bertrand-Hillion Marie-Paola/ABACA/Abaca/East News © MEGA/Mega Agency/East…

บางครั้งเราอาจรู้สึกเหมือนเราอยู่ภายใต้แรงกดดันและความคาดหวังจากคนรอบข้าง ซึ่งมันไม่ได้ง่ายเลยที่เราจะสามารถจัดการให้มันลดลงหรือหายไปได้ในเวลาอันสั้น ซึ่งเพื่อนของเราคนหนึ่งได้บอกว่ายิ่งเราสลายสสิ่งเหล่านี้ให้หายไปไม่ได้มันก็จะสะสมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยที่เราไม่รู้ตัวเองมาก่อนเลย และแน่นอนว่ายิ่งมันมีสิ่งเหล่านี้มากขึ้น เราก็มีพื้นที่สำหรับความสุขของเราลดลงยังไงละ วันนี้พวกเราชาวสัเพเหระก็เลยเอาเคล็ดลับหลากหลายมาให้เพื่อนเพื่อนได้ลองเอาไปใช้เพื่อลดความกังวลเหล่านั้นออกไปจากตัวเรานั้นเอง มาลองชมกันเลยดีกว่านะ 1. ลองหัดทำสบู่ด้วยตัวคุณเอง © pixabay.com ถ้านับสิ่งที่ร่างการของเรามีมากที่สุดแล้วละก็คงจะต้องเป็นผิวหนังนี้แหละที่เป็นเหมือนอวัยวะที่ชิ้นใหญ่ที่สุดของเรา เพราะมันคือส่วนที่เหมือนเปลือกนอกที่หุ้มทุกอย่างเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง แน่นอนว่ามันทั้งส่วนที่แข็งแรงและส่วนที่อ่อนโยนจนถึงขนาดที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศาเลยก็มี และเนื่องจากผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายบางชนิดมีส่วนผสมที่เป็นอันตรายหลายชนิด นี่คือเหตุผลว่าทำไมบางคนถึงเลือกการใช้สบู่ที่ทำขึ้นเองเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับแต่ละคน เพราะวิธีนี้จะทำให้คุณรู้ว่าสบู่ทำมาจากอะไร ข้อดีอีกอย่างคือ การทำ DIY อาจเป็นกระบวนการที่สนุกและผ่อนคลาย ซึ่งรวมถึงการได้ทำงานกับน้ำมัน น้ำหอม และสารแต่งสีต่างๆ ซึ่งช่วยผ่อนคลายได้มาก แต่ถ้ากระบวนการสร้างสบู่นั้นดูยุ่งยากเกินไป เพื่อให้คุณได้รับความผ่อนคลายก็ให้ลองนำสบู่ที่คุณชอบมาลองตัดหรือหักมันแทน เพราะการตัดสบู่นั้นช่วยเรื่องการตอบสนองของเส้นลมปราณประสาทสัมผัสอัตโนมัติ และด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้ มีสบู่หลากหลายประเภทผลิตออกมาเพื่อช่วยกระตุ้นทั้งการได้ยินและการมองเห็น ด้วยกลิ่นและสัมผัสนั้นเอง 2. ฟังเพลงเศร้า © pixabay.com เรารู้ว่ามันฟังดูขัด ๆ กับความรู้สึกของหลายคนเพราะแทนที่จะทำให้ยิ้มแต่กลับยิ่งทำให้เศร้าไปอีก อย่างไรก็ตามจากผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าการฟังเพลงเศร้าช่วยในเรื่องจินตนาการ การควบคุมอารมณ์ และการเห็นอกเห็นใจผู้อื่น มันทำให้เกิดความคิดถึงในผู้เข้าร่วมและแม้แต่ความสุขแทนที่จะเป็นอารมณ์เชิงลบอย่างที่ใคร ๆ ก็คิด ดังนั้น บางทีความปรารถนาที่จะฟังเพลงเศร้าและได้ร้องไห้ระบายความรู้สึกที่อยู่ข้างในออกมานั้นก็ดีกว่าเก็บสิ่งเหล่านั้นไว้นั้นเอง และเมื่อมันได้ระบายออกแล้วเราก็จะรู้สึกดีขึ้นนั้นเอง แต่สำหรับคนที่ฟังแล้วยิ่งดิ่งละก็ลองข้ามไปทำข้อถัดไปเลยนะ 3. กดที่หัวแม่มือ เชื่อหรือไม่ว่า นิ้วข้างหนึ่งของคุณมีพลังพิเศษในการสงบสติอารมณ์ และมันก็ง่ายๆ แค่กดที่นิ้วหัวแม่มือของคุณนั่นเอง…

ถ้าให้เพื่อนเพื่อนลองไปสอบถามถึงประเทศที่เราไปแล้วพบเห็นเหล่าบรรดาชาวบ้านของประเทศเหล่านั้นดูสุขภาพแข็งแรงถึงแม้จะอายุมากแล้วก็ตามละก็ หนึ่งในบรรดาประเทศที่เพื่อนเพื่อนเลือกละก็จะต้องมีรายชื่อของญี่ปุ่นอยู่อย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าจะอยู่ในอันดับไหนก็แล้วแต่ แต่จากข้อมูลที่เรามีมาแล้วนั้นได้บอกว่าในด้านของตัวเลขอายุขัยเมื่อเทียบกับทุกประเทศในโลก หากอายุขัยเฉลี่ยในสวิตเซอร์แลนด์อยู่ที่ประมาณ 83.4 ในญี่ปุ่นจะอยู่ที่ 84.3 อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่การมีชีวิตที่ยืนยาว แต่คือการมีชีวิตอย่างมีความสุขและมีสุขภาพดี ต้องขอปรบมือให้กับชาวญี่ปุ่นจริง ๆ ที่ได้รางวัลนี้และเคล็ดลับที่ทำให้พวกเค้าแข็งแรงได้นั้นก็น่าจะมาจากหนึ่งในวิถีชีวิตของพวกเขานั้นเอง และช่วงเวลาหลังจากเกษียณอายุ ก็ยังเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจและเราพบเคล็ดลับบางประการที่พวกเขาใช้เพื่อให้ร่างกายยังดูเยาว์วัยอีกด้วยนะไปลองอ่านกันเลยดีกว่านะ 1. ยิ่งทานอาหารในจานเล็กๆยิ่งดี © Depositphotos.com ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าปริมาณของการทานอาหารที่น้อยลงในจานนั้นจะทำให้เรากินช้าลง และเมื่อทานช้าลงเราก็จะรู้สึกตัวว่าเรานั้นอิ่มแล้วหรือยังได้ง่ายขึ้น ซึ่งนั้นเองที่เป็นเคล็ดลับที่ทำให้ในแต่ละมื้ออาหารของเรานั้นไม่ทานอาหารที่มากเกินไปนั้นเองลองเอาไปทำดูได้นะ 2. ลองประเมินการทานอาหารที่ 80% ของปริมาณจานก่อน © Depositphotos.com ที่เราไม่แนะนำให้กินเร็วเกินไปเพราะกว่าเราจะทราบว่าอิ่มนั้น ร่างกายของเราใช้เวลาประมาณ 20 นาทีนับจากเวลาที่คุณเริ่มกินและอิ่มเพื่อให้สมองส่งสัญญาณของความอิ่ม ชาวญี่ปุ่นทราบข้อมูลเหล่านี้และใช้กฎง่ายๆ เพียงข้อเดียว คือ แบ่งการกินช้า ๆ โดยเลือกทานไปประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ หรือกินเพียง 8 ใน 10 ส่วนของมื้ออาหารก่อน และหากยังไม่อิ่มก็ค่อยทานต่อไปได้ 3. ผลของการทานน้ำมัน 1 ช้อนชากับเกลือ 0.9 กรัม © Depositphotos.com…

มีอยู่หลายครั้งเราออกไปชมธรรมชาติอันสวยงาม ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม ไฟที่ทำให้เราต้องเสียป่า หรือธารน้ำแข็งที่กำลังละลาย เกิดจากการกระทำของมนุษย์ซึ่งทำให้ทุกอย่างๆ แย่ลงไปทุกวันๆ และหากเราปล่อยให้มันเป็นเช่นนี้ต่อไป เราจะสูญเสียดาวเคราะห์ดวงเดียวดวงนี้ของเราไปในไม่ช้า และตามที่นักกิจกรรมด้านสภาพอากาศบอกว่า “There is No Planet B (เราไม่มีดาวเคราะห์ดวงที่สอง)” ที่จะอพยพไปไหนได้ ฉะนั้นสิ่งที่เราสามารถทำได้คือร่วมกันรักษาโลกของเราไว้ และเราควรลงมือทำทันทีเพราะเราไม่มีเวลาเหลืออีกต่อไป พวกเราต้องการบอกคุณว่าเกิดอะไรขึ้นกับบ้านของเราในตอนนี้ และเราขอแนะนำให้คุณเข้าร่วมกับเราในภารกิจที่สำคัญที่สุดของศตวรรษนี้ นั่นคือ ช่วยโลกของเราไว้ 1. ธารน้ำแข็ง Pedersen ที่อลาสก้า เมื่อ 100 ปีที่แล้วเทียบกับตอนนี้ © Science Photo Library/EAST NEWS © Science Photo Library/EAST NEWS 2. น้ำตกวิคตอเรียอันงดงามที่ตอนนี้ได้กลายเป็นสายน้ำเล็กๆ ไปแล้ว © picture alliance / zb/EAST NEWS © ZINYANGE AUNTONY/AFP/East News 3. เราสูญเสียพื้นที่ป่าและสัตว์ป่าของเราไป…

สำหรับมนุษย์เราแล้วนี่น การได้ออกเดินทางไปดูสิ่งต่างๆ หรือไปตามหาสิ่งใหม่คือวิธีหนึ่งในการทำความรู้จักกับวัฒนธรรมที่อาจแตกต่างจากของเรา แต่การเผชิญหน้ากับประเพณีเหล่านี้ช่วยให้เราตระหนักถึงโอกาสมากมายที่เราต้องขยายความรู้ของเราและรักษาความสามารถในการสงสัยให้คงอยู่ ครั้งนี้ ผู้ใช้เครือข่ายได้แบ่งปันภาพที่สะท้อนถึงสิ่งที่ทำให้ประเทศของตนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว พวกเราชาวสัพเพเหระก็อยากให้วันสบายๆแบบนี้ของเพื่อนเพื่อนได้มีรอยยิ้มและเรื่องราวสนุกๆพวกเราเลยได้รวบรวมรายละเอียดเฉพาะที่ทำให้บางประเทศเป็นโลกใหม่ที่น่าค้นหา และเราต้องการแบ่งปันให้กับคุณ 1.ไม่ใช่ภาพตัดต่อนะแต่มันคือเก้าอี้ขนาดใหญ่จริง ๆ  “และเราได้ไปเยี่ยมชมม้านั่งที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมนีกันมาแล้ว” © นักสะสมงานอดิเรก / Reddit 2. “ในจีนแผ่นดินใหญ่ พวกเขาวางถุงบรรจุสารอาหารที่ผสมในน้ำ ไว้บนต้นไม้เพื่อให้สารอาหารเพิ่มเติมสำหรับต้นไม้ที่ต้องได้รับการดูแล” © eatqqq / Reddit 3. มันไม่ใช่พื้นหักนะแต่“ในทะเลสาบวิกตอเรีย มีทางลาดเป็ดอยู่ในท่าเรือ” © CliftAdventures / เรดดิท 4. “กระท่อมบนไซโลหลังนี้ใน Oldham County, Kentucky” จะขึ้นลงก็คงเหนื่อยหน่อยนะ © เจฟฟ์เบิร์ต / Reddit 5. เป็นการเปิดตัวที่ไม่เหมือนใครเมื่อ “มียาเม็ดสีแดงขนาดยักษ์ที่รอบปฐมทัศน์โลกภาพยนตร์ Matrix Resurrections ในซานฟรานซิสโก แคลิฟอร์เนีย” © joshually / Reddit 6. “นี่คือโคอาล่าที่อาศัยอยู่ในสวนหลังบ้านของฉันและป้ายใหม่ที่สภาเพิ่งติดตั้งเพื่อให้มันข้ามถนนได้อย่างปลอดภัย” © timtowiebcnr33…

เมื่อเราอยู่กันเป็นจำนวนมากเราก็ต้องมีเรื่องของกฎหรือระเบียบเพื่อที่จะทำให้เราสามารถอยู่ร่วมกันได้ อย่างในบ้านก็มีกฎบ้านในโรงเรียนก็มีกฎของโรงเรียน และสังคมและเมืองใหญ่ต่าง ๆ หรือประเทศต่าง ๆ ก็มีสิ่งนี้เช่นเดียวกัน ซึ่งในฐานะที่เราองเป็นคนที่ต้องมาอาศัยอยู่ในแต่ละสถานที่นั้นเราก็คงต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดเหล่านั้นเพื่อความเรียบร้อยและเพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนั้นเอง ซึ่งหลายหลายอย่างมันก็ดีแต่บางทีบางอย่างมันก็ไม่ค่อยโอเคสักเท่าไหร่ เช่น กฎที่มีเป้าหมายเพื่อการเปลี่ยนแปลความคิดของเราให้สอดคล้องกับข้อคิดแบบเดิม ซึ่งมันก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปแล้วแต่กฏเหล่านั้นยังคงอยู่ ซึ่งเราก็หวังว่าสักวันมันจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ควรจะเป็น แต่ก่อนจะถึงวันนั้นวันนี้พวกเราชาวสักเพเหระก็ได้ลองเอากฏตามประเทศต่าง ๆ ที่บางข้อก็ฟังดูแปลกบางอย่างก็ฟังดูดีมาให้เพื่อนเพื่อนได้ลองฟังกันหน่อย แล้วมาบอกเราหน่อยสิว่าอันไหนมันดีหรืออันไหนที่ควรจะปรับออกไป 1. กฎจากโปรตุเกสที่เพิ่งออกมาเมื่อเร็ว ๆ นี้มันช่างโดนใจคนทำงานแบบนั้นเลย เพราะเค้าบอกว่าหากนอกเวลางานแล้วนั้น การติดต่อกับพนังงานเรื่องงานนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเว้นแต่จะเป็นเรื่องจำเป็นและ หากติดต่อพนักงานไม่ได้ก็ไม่ถือว่าพนักงานคนนั้นบกพร่องต่อการทำงานด้วยนะเพราะมันอยู่นอกเวลางานไงละ และเค้าทำเพื่อปรับปรุงความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน โปรตุเกสแนะนำกฎใหม่ในปี 2564 ที่ทำให้ผู้บังคับบัญชาติดต่อกับพนักงานหลังเวลาทำงานเป็นเรื่องผิดกฎนายจ้างไม่สามารถส่งข้อความ ส่งอีเมลถึง หรือโทรหาพนักงานเกี่ยวกับเรื่องงานได้ เว้นแต่มีเหตุฉุกเฉิน 2. ในนอร์เวย์ บอกให้เหล่าบรรดาดาราหรือผู้มีชื่อเสียงต้องยอมรับความจริงหากพวกเขาแก้ไขรูปภาพให้ดูดีกว่าตัวจริง © Depositphotos.com ฟังดูก็อาจจะคิดว่ามีไว้ทำไมนะเพราะใครๆ ก็แต่งกันทั้งนั้นแหละ แต่มันมีจุดมุ่งหมายเพื่อไม่ทำให้คนทั่วไปคิดว่าตัวเองนั้นดูด้อยกว่าจากภาพถ่ายที่ผ่านการรีทัชที่สมบูรณ์แบบซึ่งผู้มีชื่อส่วนใหญ่โพสต์บนโซเชียลมีเดียนั้นเอง 3. ในเมืองบาเซิล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ อาคารใหม่ทุกหลังต้องมีหลังคาสีเขียว © Shutterstock.com การยอมรับกฎนี้ทำให้บาเซิลเป็นเมืองแรกในโลกที่บังคับใช้หลังคาเขียวกับอาคารที่สร้างขึ้นใหม่ และเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้มีการรวมอาคารที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ไว้ในนี้ด้วย การเพิ่มความเขียวขจีให้กับหลังคาเรียบของเมืองช่วยต่อสู้กับหมอกควันและมลพิษ 4. มีการปลูกต้นไม้ 2 ต้นสำหรับทุกๆ สมาชิกใหม่ในครอบครัวในเวลส์…

ถ้าจะบอกว่าโลกเรานั้นกว้างใหญ่ละก็หลายคนก็อาจจะบอกว่าตอนนี้มันแคบเพราะเราเจอการติดต่อสื่อสารออนไลน์ทำให้เราสามารถมองเห็นและรับรู้ข่าวสารจากทั่วทุกแห่งได้แบบง่าย ๆ แต่ในความกว้างใหญ่ที่เราจะบอกนั้นก็คือจนถึงทุกวันนี้ 65% ของโลกของเรา – ไม่รวมพื้นเป็นน้ำ นั้นต้องบอกว่ามันยังคงปกคลุมไปด้วยความลึกลับ และ 86% ของสายพันธุ์ของโลกไม่เป็นที่รู้จัก แต่วิทยาศาสตร์มีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง และดูเหมือนว่านักวิจัยจะมีอะไรให้เราประหลาดใจอยู่เสมอ ตัวอย่างเช่น เราเพิ่งค้นพบว่านกพิราบสามารถเรียนรู้ศิลปะได้ และแกะสามารถจดจำใบหน้าของคุณได้ พวกเราชาวสัพเพเหระรู้เรื่องนี้และก็อยากจะเห็นสิ่งต่าง ๆ ให้มากขึ้นจึงชอบมองหาเรื่องราวที่น่าสนใจและต้องการแบ่งปันงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ล่าสุดของวันนี้และทำให้คุณประหลาดใจด้วยข้อเท็จจริงที่คุณอาจไม่เคยได้ยินมาก่อน 1. นกพิราบสามารถจดจำภาพวาดได้และยิ่งเป็นภาพวาดที่มีคุณค่ามันยิ่งจำได้ดี © Shutterstock.com, © Shutterstock.com คุณสามารถระบุภาพวาดมีคุณค่าได้หรือไม่? เราหลายคนอาจจะทำไม่ได้แต่นกพิราบทำได้! การศึกษาของญี่ปุ่นชิ้นหนึ่งแสดงให้เห็นว่านกพิราบที่ได้รับการฝึกฝนสามารถแยกแยะภาพวาดที่ “ดี” และ “ไม่ดี” ได้ นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่านกใช้สี พื้นผิว และลวดลายในการตัดสินว่าภาพวาดนั้นสวยงามหรือไม่ (ในความเห็นของผู้คน) แน่นอนว่าเราไม่ได้พูดถึงทักษะขั้นสูง แต่ถ้านกพิราบได้รับการฝึกฝน จะสามารถได้รับความสามารถในการตัดสินความงามได้เช่นเดียวกับของมนุษย์ 2. แมลงสาบสามารถอยู่ได้นานหลายสัปดาห์โดยไม่มีส่วนหัว © Shutterstock.com ใช่ คุณอ่านถูกแล้ว: แมลงสาบสามารถอยู่ได้โดยไม่มีหัวเป็นเวลานาน เพราะพวกมันไม่มีเครือข่ายหลอดเลือดที่กว้างขวาง หากแมลงสาบถูกหัว ลิ่มเลือดจะไปปิดแผล แมลงเหล่านี้หายใจผ่านเกลียวซึ่งเป็นรูรูปท่อที่ด้านข้างและช่องท้อง อย่างไรก็ตามแมลงสาบจะไม่สามารถกินได้หากไม่มีหัว ดังนั้นในอีกไม่กี่สัปดาห์มันก็จะยังคงตายเพราะความหิว 3. แกะสามารถจดจำใบหน้าได้ดังนั้นมันจึงจำเพื่อนที่หน้าเหมือนมันได้ไงละ ©…

อยากจะบอกเลยว่าตอนนี้หากเราไม่มั่นหน้ามั่นใจในความหล่อสวยเท่ของตัวเองละก็ เราสามารถไปยกกระชับใบหน้า หรือทำอย่างอื่นเพื่อทำให้เราเป็นอย่างที่เราอยากเป็นเมื่อไหร่ก็ได้ถ้ามีเงินอะนะ และเราทำเต็มที่เพื่อให้ดูดีที่สุดเพื่อให้เราสบายใจของเราเอง และแม้ว่าจะไม่มีอะไรผิดปกติกับขั้นตอนเหล่านี้ แต่ก็ยังมีวิธีอื่นๆ ที่จะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นเกี่ยวกับตัวเรา โชคดีที่ Amy Cuddy ศาสตราจารย์แห่ง Harvard ได้ค้นพบวิธีฝึกฝนร่างกายของเราให้เปลี่ยนกรอบความคิดและเพิ่มความมั่นใจด้วยการ “แกล้งทำจนกว่าเราจะตั้งใจจริง” วันนี้พวกเราชาวสัพเพเหระก็เลยต้องการให้คุณมีความมั่นใจและประสบความสำเร็จในความพยายามของคุณ ดังนั้นเราจึงเตรียมรายชื่อท่าทางที่สามารถช่วยให้คุณรู้สึกสบายใจในการประชุมหรือการสัมภาษณ์ครั้งต่อไป คุณพร้อมสำหรับความท้าทายหรือไม่? บอกเลยว่าการรวบรวมข้อมูลในสถิติและวิทยาศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังมัน © Erik (HASH) Hersman/ Wikimedia Commons, © CC BY 2.0 Amy Cuddy นักจิตวิทยาสังคมแห่ง Harvard Business School กลายเป็นที่ฮือฮาไปทั่วโลกเมื่อเธอพูดใน TED Talk เกี่ยวกับการโพสท่าแสดงพลัง และทำให้พวกเราทุกคนสงสัยว่ามันเกี่ยวกับอะไร เธอกล่าวว่า ท่าที่มีพลังสูงประมาณ 2 นาทีต่อวันสามารถเพิ่มระดับเทสโทสเตอโรนของเราได้ 20% และลดระดับคอร์ติซอลลง 25% ซึ่งจะทำให้คุณรู้สึกมั่นใจมากขึ้นและเครียดน้อยลง 1. ท่าแรกการวางมือบนโต๊ะอย่างมั่นใจ แม้แต่คนที่มั่นใจที่สุดก็อาจเริ่มกระสับกระส่ายเมื่อถึงเวลาที่พวกเขาเสนอแนวคิดใหม่ในระหว่างการประชุม สถานการณ์ทางสังคมที่มีผลกระทบสูงเหล่านี้ซึ่งมีการแย่งชิงอำนาจอาจทำให้คุณวิตกกังวล เพื่อให้ท่านี้ออกมาถูกวิธีโดยไม่ดูอวดดีเกินไป สิ่งสำคัญคือต้องฝึกไว้ก่อน เมื่อถึงตาคุณพูด ให้ยืนขึ้น…

อยากจะมากล่าวถึงดาราสาวสวยมากความสามารถสักคนถ้าให้เพื่อนเพื่อนคิดชื่อก็คงมีเยอะเลย แต่สำหรับหลายๆ คน แองเจลินา โจลีเป็นมากกว่านักแสดงที่มีพรสวรรค์ ทุกสิ่งที่เธอทำเพื่อเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้นเป็นการพิสูจน์ว่าเธอมีหัวใจทองคำอย่างแท้จริง แต่นอกเหนือจากความมุ่งมั่นที่เสียสละเพื่อการกุศลแล้ว ผู้หญิงที่งดงามคนนี้ยังมีบทเรียนด้านสไตล์สองสามข้อที่จะสอนเรา ไม่ว่าเธอจะไปงาน Academy Awards หรือแค่เดินไปซื้อของชำตามท้องถนน เธอก็ยังดูน่าทึ่งอยู่เสมอจนเราไม่สามารถละสายตาจากเธอได้เลย พวกเราชาวสัพเพเหระก็เลยอยากจะเอาเรื่องราวเกี่ยวกับการแต่งตัวหรือทำอย่างไรในการออกงานของ Jolie มาให้เพื่อนเพื่อนรับทราบกันเป็นข้อๆเลยว่าเธอปฏิบัติหรือสร้างกฎเกณฑ์ในแบบใดบ้างเพื่อให้เธอนั้นยังดูเปล่งประกายไม่ว่าจะไปที่ไหน และนี่คือสิ่งที่เราค้นพบ Angelina Jolie มักจะสวมรองเท้าส้นสูงที่ไม่หุ้มบริเวณหลังเท้าซึ่งนั้นทำให้ขาของเธอดูขายาวขึ้นนั้นเอง © AP/East News, © Sthanlee Mirador/Sipa USA/East News และอีกอย่างนั้นกคือ Angelina Jolie เธอมักจะเลือกรองเท้าในเฉดสีที่ใกล้กับสีของชุดหรืออาจจะเป็นรองเท้าส้นสูงสีเบจที่เธอใส่คู่กับชุดราตรี หรือรองเท้าแตะสีเบจแสนสบายที่เธอใส่ไปเที่ยวพักผ่อน เคล็ดลับนั้นเรียบง่ายแต่ใครๆก็ทำได้ ด้วยรองเท้าส้นสูงจะทำให้ขาของคุณดูยาวขึ้นและกลมกลืนกับสีผิวของคุณ เพื่อให้ได้ผล ให้มองหารองเท้าที่มีสีใกล้เคียงกับสีใกล้เคียงธรรมชาติของคุณมากที่สุด © David Livingston/Getty Images ความบันเทิง/Getty Images เธอชอบเสื้อผ้าสีดำ ขาว และสีพาสเทล © AFP/EAST NEWS, © AFP/EAST NEWS เคล็ดลับอีกอย่างของ Jolie ในการแต่งตัวให้ดีที่สุดในทุกโอกาสคือสีของเสื้อผ้าที่เธอใส่…

ผ่านไปแล้วกับงานสิ้นปีและการเริ่มตันปีใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าในทุกๆปี พวกเราจะได้เห็นและได้พบว่าตัวเราเองหรือเพื่อนของเราหลายหลายคนสัญญากับตัวเองว่าจะทำบางสิ่งบางอย่างหรือ อยากจะลองเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างอย่างเช่นบางคนก็คาดหวังว่าจะมีสุขภาพที่ดีขึ้น มีความสุขมากขึ้นด้วยการทำงานอดิเรกหรือออกกำลังกาย และแน่นอนว่าหลายหลายคนก็อยากที่จะประสบความสำเร็จมากขึ้น แต่แรงจูงใจในตอนแรกนั้นที่เต็มเปี่ยมก็ไม่ได้คงอยู่ตลอดไป และแทนที่จะบรรลุเป้าหมาย เรามุ่งเน้นที่การฟื้นฟูแรงจูงใจของเรา วันนี้พวกเราชาวสัพเพเหระที่เข้าใจเรื่องราวเหล่านี้เป็นอย่างดี ว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นยากเพียงใด เราจึงได้เตรียมคำแนะนำที่จะช่วยให้คุณรักษาแรงจูงใจไว้ได้ 1. เริ่มจากจัดลำดับความสำคัญของงานของคุณ บางครั้งเราใช้เวลาไปกับสิ่งที่ไม่สำคัญแต่ใช้เวลามาก และเมื่อเสร็จสิ้น คุณไม่มีแรงเหลือในการทำงานในโครงการอื่นๆ ของคุณ ดังนั้นการจัดลำดับความสำคัญของสิ่งที่สำคัญในขณะนี้อาจช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายได้เร็วขึ้น ขณะที่สร้างรายการสิ่งที่ต้องทำ ให้แบ่งงานของคุณออกเป็น 4 ส่วน: เร่งด่วนและสำคัญ สำคัญแต่ไม่เร่งด่วน เร่งด่วนแต่ไม่สำคัญ ไม่สำคัญ และไม่เร่งด่วน เมื่อคุณเรียนรู้การทำงานในสิ่งสำคัญในช่วงเริ่มต้นของการทำงาน คุณจะรู้สึกมีประสิทธิผลมากขึ้น 2. จินตนาการถึงเป้าหมายของคุณ แน่นอนว่า สิ่งสำคัญคือต้องทำรายการสิ่งที่ต้องทำและบันทึกเป้าหมายและความฝันของคุณ แต่การแสดงภาพให้เห็นเป็นวิธีที่น่าตื่นเต้นและสร้างสรรค์กว่าในการมีเป้าหมายทั้งหมดไว้ในที่เดียว การแสดงภาพเป็นหนึ่งในแบบฝึกหัดที่ทรงพลังที่สุดสำหรับจิตใจของคุณ คุณสามารถสร้างวิสัยทัศน์ที่คุณสามารถรวบรวมภาพถ่ายหรือรูปภาพของสิ่งที่คุณอยากมีในชีวิต ตัวอย่างเช่น คุณอาจเอาโปสเตอร์สะอาดๆ แล้วแปะรูปบ้านในฝัน ของที่คุณอยากซื้อ และประเทศที่คุณอยากไป แขวนกระดานไว้ในที่ที่มองเห็นได้เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจว่าทำไมคุณควรทำงานหนัก 3. เขียนบันทึกแล้วส่งถึงตัวเองในอนาคต ลองนึกภาพว่าคุณอยากจะเป็นคนแบบไหนหลังจากนั้นไม่นาน คุณต้องการที่จะร่ำรวยหรือสร้างครอบครัวของคุณเองหรือเดินทางผ่านรายชื่อประเทศต่างๆ ทั่วโลก? ตอนนี้คุณมีโอกาสที่สร้างสรรค์ในการติดตามความสำเร็จของคุณโดยการเขียนจดหมายถึงตัวเองในอนาคต การทำเช่นนี้จะทำให้คุณสามารถตั้งเป้าหมายและดูว่าคุณทำสำเร็จหรือไม่หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง ปัจจุบัน คุณอาจพบบริการต่างๆ บนอินเทอร์เน็ตที่อนุญาตให้คุณส่งจดหมาย ‘อนาคต’ —…